
รถรับจ้างขนของกระบะตู้ ราคา



รถรับจ้างขนของกระบะตู้ เป็นบริการยอดนิยมสำหรับการขนย้ายของ เช่น ย้ายบ้าน ย้ายหอพัก ส่งสินค้าจำนวนมาก ฯลฯ โดยมีข้อดีคือ กันแดดกันฝนได้ดี และปลอดภัยกว่าแบบกระบะเปิด ซึ่งเรื่อง “ราคา” ของบริการนี้จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
ประเภทของรถกระบะตู้
1. กระบะตู้ทึบ (ตู้อลูมิเนียม/เหล็ก)
ลักษณะ: เป็นตู้ปิดทึบทั้ง 4 ด้าน ไม่มีช่องกระจก ทำจากอลูมิเนียมหรือเหล็ก
ข้อดี:
ป้องกันแดด ฝน ฝุ่น และความชื้นได้ดี
เหมาะกับการขนของที่ต้องการความปลอดภัย เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เอกสาร สินค้าส่งขาย ฯลฯ
ข้อจำกัด: มองไม่เห็นของข้างใน, บางพื้นที่อาจจำกัดความสูงของรถ
2. กระบะตู้มีช่องระบายอากาศ/ตู้แห้ง
ลักษณะ: ตู้คล้ายแบบทึบ แต่มีช่องระบายอากาศด้านข้าง
ข้อดี:
เหมาะสำหรับขนของที่ต้องการอากาศถ่ายเท เช่น พืชผัก ผลไม้ หรือของที่มีความชื้น
น้ำหนักเบากว่าแบบทึบเล็กน้อย
ข้อจำกัด: กันฝนได้ไม่ 100% หากฝนแรงมากอาจมีน้ำรั่ว
📦 ขนาดมาตรฐานของกระบะตู้
ความยาวตู้: ประมาณ 2.0 – 2.5 เมตร
ความกว้างตู้: ประมาณ 1.5 – 1.8 เมตร
ความสูงตู้: ประมาณ 1.8 – 2.2 เมตร
น้ำหนักบรรทุกโดยเฉลี่ย: 800 – 1,200 กิโลกรัม
✅ เหมาะกับงานแบบไหน?
ขนย้ายหอพัก/ย้ายบ้าน
ส่งสินค้าร้านค้าออนไลน์/สินค้าปลีก
ขนของตามงานจัดบูธ อีเวนต์ หรือออกบูธแสดงสินค้า
ส่งของไปต่างจังหวัด
หากคุณมีของประเภทเฉพาะ เช่น ของเสียง่าย ของที่ต้องคุมอุณหภูมิ หรือของที่ต้องการยกขึ้นคอนโด สามารถเลือกประเภทตู้ที่เหมาะสมได้ตามความต้องการครับ 🙌
อยากให้ช่วยเลือกประเภทตู้ที่เหมาะกับของที่คุณจะขนไหมครับ? บอกประเภทของมาได้เลย เดี๋ยวช่วยแนะนำให้ฟรีครับ 😊
ระยะทางมีผลต่อราคา
✅ ระยะทางมีผลต่อราคาอย่างไร?
การคิดราคาค่าขนของด้วยรถกระบะตู้ จะ คิดตามระยะทาง ที่ต้องวิ่งจากจุดต้นทางไปยังปลายทาง ยิ่งไกล ราคายิ่งสูง เพราะผู้ให้บริการต้องคำนึงถึง:
ค่าน้ำมัน
ค่าเสื่อมสภาพของรถ
เวลาในการเดินทาง
ค่าทางด่วน (ถ้ามี)
📏 ตัวอย่างการคิดราคาเบื้องต้น (โดยประมาณ)
ระยะทาง
ประเภทระยะทาง | ตัวอย่าง | ราคาประมาณ |
---|---|---|
ระยะทางใกล้ | ขนของในเขตเดียวกัน เช่น ลาดพร้าว → บางกะปิ | 500 – 1,000 บาท |
ระยะทางกลาง | กรุงเทพฯ → ปทุมธานี / สมุทรปราการ | 1,200 – 2,000 บาท |
ระยะทางไกล | กรุงเทพฯ → ต่างจังหวัด (อยุธยา, ชลบุรี ฯลฯ) | 2,000 – 4,000+ บาท |
ระยะทางไกลมาก | กรุงเทพฯ → ภาคเหนือ/อีสาน/ใต้ | 5,000 – 10,000+ บาท (ขึ้นกับระยะทางจริง) |
🚚 รูปแบบการคิดราคา
ราคาเหมาจ่าย: เหมาะกับงานขนของทั่วไป เช่น ย้ายบ้าน หรือขนของต่างจังหวัด
ราคาตามระยะทางจริง (กิโลเมตร): ผู้ให้บริการบางรายคิดตามราคาต่อ กม. เช่น 10-15 บาท/กม. (ไป-กลับ)
📌 ปัจจัยเสริมที่อาจเพิ่มราคา
เส้นทางที่รถต้องใช้ทางด่วนหรือมีค่าผ่านทาง
เส้นทางที่รถติดมากหรือเข้าถึงยาก เช่น ซอยแคบ, พื้นที่ห้ามจอด
ต้องขนของหลายจุด (มากกว่า 1 ปลายทาง)
📝 สรุป
“ยิ่งระยะทางไกล ราคายิ่งเพิ่มตาม”
แนะนำให้แจ้ง ต้นทาง – ปลายทางที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้ให้บริการประเมินราคาที่แม่นยำที่สุด
ปริมาณและประเภทของที่ขน
เมื่อคุณจ้างรถกระบะตู้ขนของ ผู้ให้บริการจะประเมินจาก ขนาด, น้ำหนัก และลักษณะของของที่ต้องขน ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อราคา, จำนวนรอบที่ต้องวิ่ง และจำนวนคนยกของที่ต้องใช้
🧱 1. ปริมาณของที่ขน
ถ้าของไม่เยอะ (1-2 ชิ้นใหญ่ เช่น ตู้เย็น+เตียง) = รถ 1 คันอาจพอ
ถ้าของเยอะ เช่น ย้ายบ้าน/ห้องทั้งห้อง = อาจต้องรถ 1 คันใหญ่เต็ม หรือใช้ 2 เที่ยว
บางกรณี ผู้ให้บริการเสนอให้ใช้รถ 2 คันเพื่อประหยัดเวลา
📌 ผลต่อราคา:
ถ้าของเยอะมาก = เพิ่มราคา 500 – 1,000 บาท หรือคิดเพิ่มเป็น “เที่ยว”
หากต้องใช้แรงงานเพิ่ม = มีค่าคนยกเพิ่มเติม
📦 2. ประเภทของสิ่งของ
ของแต่ละแบบจะมีผลต่อวิธีการขนและความระมัดระวังในการจัดเก็บ:
ประเภท
ประเภทของ | รายละเอียด | ผลต่อราคา |
---|---|---|
เฟอร์นิเจอร์ | ตู้ เตียง โซฟา โต๊ะ | ของใหญ่ ต้องใช้พื้นที่มาก อาจต้อง 2 คนยก |
เครื่องใช้ไฟฟ้า | ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ทีวี | ต้องวางแนวตั้งและกันกระแทกดี |
ของแตกหักง่าย | กระจก จานชาม เซรามิก | ต้องวางเบา ๆ ใช้วัสดุกันกระแทก |
ของใช้ทั่วไป | กล่องเสื้อผ้า หนังสือ ของจิปาถะ | ขนง่าย ไม่เปราะบาง จัดซ้อนได้ |
ของหนักพิเศษ | เครื่องจักร ตู้เซฟ | ต้องใช้คนยกมากขึ้น หรือรถเข็น |
📌 ผลต่อราคา:
ของหนัก, เปราะบาง, หรือขนาดพิเศษ = ผู้ให้บริการอาจคิดราคาเพิ่ม 200 – 1,000+ บาท
📝 สรุป:
“ของเยอะ + ของใหญ่ + ขนยาก = ราคาสูงขึ้น”
เพื่อความชัดเจน แนะนำให้:
ถ่ายรูปของที่ต้องขนส่งส่งให้ผู้ให้บริการ
บอกขนาดโดยประมาณ เช่น กี่กล่อง, มีกี่ชิ้นใหญ่
การจ้างคนยกของ
✅ การจ้างคนยกของคืออะไร?
ในการใช้บริการรถกระบะตู้รับจ้าง ผู้ให้บริการบางรายจะมี “บริการคนยกของ” เพิ่มเติม เพื่อช่วยยก ขน ย้าย จัดเรียงของขึ้น–ลงจากรถ โดยเฉพาะถ้า:
คุณไม่มีคนช่วยยกของ
ต้องยกของหนักหรือจำนวนมาก
ต้องยกของขึ้นคอนโด/อาคารที่ไม่มีลิฟต์
💵 ค่าใช้จ่ายในการจ้างคนยกของ
ราคา
รายละเอียด | ราคาประมาณ |
---|---|
คนยกของ 1 คน | 300 – 500 บาท (ต่อรอบ) |
คนยกของ 2 คน | 600 – 1,000 บาท |
คนยกของ + ต้องขึ้นบันได (ไม่มีลิฟต์) | อาจบวกเพิ่ม 100 – 300 บาทต่อชั้น |
แบบคิดเป็นชั่วโมง | 100 – 150 บาท/ชั่วโมง (บางผู้ให้บริการใช้วิธีนี้) |
📌 บางเจ้าอาจมีคนขับที่ช่วยยกให้ได้เล็กน้อยโดยไม่คิดเพิ่ม แต่ถ้าของเยอะ ต้องการมืออาชีพ จะต้องจ้างแยกต่างหาก
📦 บริการคนยกของเหมาะกับใคร?
คนที่อยู่คนเดียว ไม่มีแรงยกของเอง
ผู้หญิง, ผู้สูงอายุ, คนที่ไม่มีเพื่อนช่วย
ย้ายบ้าน ย้ายหอพัก ย้ายสำนักงาน ที่มีของเยอะ
ต้องยกของขึ้น/ลงคอนโดชั้นสูงหรืออาคารที่ไม่มีลิฟต์
🛠️ ข้อดีของการมีคนยกของ
ลดความเหนื่อยและเสี่ยงบาดเจ็บ
ยกของเร็วกว่า มืออาชีพรู้วิธีจับและเรียง
ป้องกันความเสียหายของสิ่งของ เช่น ตู้เย็น, ทีวี, เฟอร์นิเจอร์
📌 สรุป:
“ถ้ามีของเยอะ ของหนัก หรือไม่มีคนช่วย ยอมจ่ายเพิ่มเล็กน้อยเพื่อจ้างคนยกของ จะสะดวก ปลอดภัย และคุ้มกว่า”
วันและเวลาที่ใช้บริการ
✅ วันและเวลาที่ใช้บริการ ส่งผลต่อราคาอย่างไร?
แม้ว่าระยะทางและปริมาณของจะเป็นปัจจัยหลักในการกำหนดราคา แต่ “วันและเวลา” ก็มีผลด้วยเช่นกัน เพราะส่งผลต่อความยากง่ายในการให้บริการ เช่น การจราจร ช่วงเวลาพักผ่อน หรือวันพิเศษต่าง ๆ
🕒 1. เวลาที่ใช้บริการ
เวลา
ช่วงเวลา | รายละเอียด | ผลต่อราคา |
---|---|---|
เวลาปกติ (06:00 – 18:00) | เวลาทำการทั่วไป | ราคาอยู่ในเรทปกติ |
เช้ามืด (ก่อน 06:00) | ต้องเริ่มงานตั้งแต่ตี 4 – 5 | อาจบวกเพิ่ม 200 – 500 บาท |
กลางคืน (หลัง 18:00 – 22:00) | รถอาจวิ่งสะดวก แต่แรงงานอาจมีน้อย | อาจบวกเพิ่มเล็กน้อย |
ดึกมาก (หลัง 22:00) | ถือเป็นเวลานอกชั่วโมง อาจต้องนัดล่วงหน้า | บางรายบวกเพิ่ม 500 – 1,000 บาท |
📅 2. วันที่ใช้บริการ
บริการ
ประเภทวัน | รายละเอียด | ผลต่อราคา |
---|---|---|
วันธรรมดา (จันทร์ – ศุกร์) | ทำการปกติ | ราคาทั่วไป |
วันเสาร์–อาทิตย์ | คนใช้บริการเยอะมาก | อาจมีค่าบริการเพิ่ม 100 – 300 บาท |
วันหยุดนักขัตฤกษ์/วันสำคัญ | เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ ฯลฯ | ราคาสูงขึ้นชัดเจน หรือบางเจ้าหยุดให้บริการ |
🚦 ผลจากการจราจรและเวลา
เวลาที่รถติด เช่น ช่วงเช้า 07:00 – 09:00 และเย็น 16:00 – 19:00 ทำให้การขนย้ายช้าลง
บางคนจึงเลือกใช้บริการช่วง สาย ๆ (09:00 – 11:00) หรือ บ่าย (13:00 – 15:00) เพื่อเลี่ยงรถติดและประหยัดค่าใช้จ่าย
💡 เคล็ดลับประหยัด
จองล่วงหน้าในวันธรรมดา และเลือกช่วงเวลาที่ไม่เร่งรีบ เพื่อได้ราคาดี
หลีกเลี่ยงวันหยุดยาว เพราะค่าบริการมักพุ่งสูง และรถเต็มเร็ว
📌 สรุป:
“การขนของนอกเวลา – วันหยุด – วันพิเศษ อาจต้องจ่ายแพงขึ้น
หากไม่รีบ ควรเลือกวันธรรมดาและช่วงกลางวัน เพื่อความคุ้มค่าและสะดวกที่สุด”
จุดรับ-ส่ง และสภาพพื้นที่
✅ จุดรับ-ส่ง และสภาพพื้นที่ คืออะไร?
คือการพิจารณาว่า ตำแหน่งต้นทาง-ปลายทาง และ ลักษณะพื้นที่ ที่รถต้องเข้าไปจอดหรือขนของนั้น เข้าถึงง่ายหรือไม่ มีข้อจำกัดหรือความเสี่ยงอะไรหรือเปล่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อการทำงานของทีมรถและการคิดราคาครับ
📍 1. ความสะดวกในการเข้าถึงจุดรับ-ส่ง
ลักษณะพื้นที่
ลักษณะพื้นที่ | รายละเอียด | ผลต่อบริการ/ราคา |
---|---|---|
พื้นที่เข้าถึงง่าย | ถนนใหญ่ รถเข้าถึงถึงหน้าบ้าน/คอนโด | ไม่เพิ่มราคา |
ซอยแคบ / รถเข้าไม่ได้ | ต้องจอดไกล และเข็นของเข้ามา | อาจคิดเพิ่ม 100 – 300 บาท |
ห้ามจอดหน้าอาคาร/ห้าง/ตลาด | ต้องจอดชั่วคราว, เสี่ยงโดนจับ | อาจเสียเวลา หรือคิดค่าจอดเพิ่มเติม |
ต้องยกของขึ้นคอนโด/ตึก | ยิ่งสูง และไม่มีลิฟต์ ยิ่งลำบาก | คิดค่าบริการเพิ่มต่อชั้น |
🏢 2. ลิฟต์และทางเดินในอาคาร
ราคา
รายละเอียด | ผลต่อราคา |
---|---|
มีลิฟต์ขนของ | ขนของได้เร็ว ไม่เพิ่มราคา |
มีลิฟต์ทั่วไป (ต้องแบ่งใช้กับผู้อยู่อาศัย) | ใช้เวลานานขึ้น อาจคิดเพิ่ม |
ไม่มีลิฟต์ (ยกของขึ้นบันได)** | คิดเพิ่มตามชั้น เช่น 100 – 200 บาทต่อชั้น/คน |
🚗 3. พื้นที่ปลายทางมีอุปสรรคหรือไม่
มี ทางลาด/ทางต่างระดับ หรือ ต้องเดินไกลจากจุดจอดรถ
เป็นอาคารที่มี ข้อห้ามเวลาในการขนของ (เช่น ห้ามใช้ลิฟต์ช่วงเย็น)
อยู่ในพื้นที่ที่ รถกระบะตู้ไม่สามารถวิ่งเข้าได้ ต้องเปลี่ยนรถเป็นแบบเล็ก หรือขนของระยะสั้นเพิ่มเติม
📌 กรณีเหล่านี้ผู้ให้บริการมักคิดราคาเพิ่ม หรือแนะนำให้ใช้บริการเสริม เช่น รถเข็น, ทีมยกของเพิ่ม เป็นต้น
💡 เคล็ดลับในการแจ้งจุดรับ-ส่ง
บอกอย่างละเอียดว่า “บ้าน/คอนโด/อพาร์ตเมนต์อยู่ชั้นไหน มีลิฟต์หรือไม่?”
พื้นที่รถเข้าได้ถึงหน้าประตูหรือไม่?
มีข้อจำกัดเวลาในการขนของไหม?